ประวัติสังเขป ของ พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล)

ชาติภูมิ

พระเทพญาณมงคล หรือ "หลวงป๋า" เดิมชื่อ เสริมชัย พลพัฒนาฤทธิ์ เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2472 ณ อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นบุตรคนที่ 4 ของคุณพ่อทองดี และคุณแม่บุญนาค พลพัฒนาฤทธิ์ ท่านมีพี่น้องร่วมมารดาบิดา 6 คน

ใฝ่การศึกษา

ภายหลังจากที่ท่านสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนบุรีรัมย์วิทยาลัยและเตรียมอุดมศึกษาปีที่ 2 จากโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัยแล้ว เข้ามาทำงานเป็นพนักงานการท่าเรือแห่งประเทศไทยอยู่ชั่วระยะเวลา 2-3 ปี ท่านได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนสำเร็จปริญญาตรีเมื่อปี พ.ศ. 2498 ทำงานแล้วได้ศึกษาต่อจนสำเร็จปริญญารัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต (เกียรตินิยม "ดี") ในปี พ.ศ. 2508

ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. 2512 ท่านได้สำเร็จการศึกษาหลักสูตร "ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์" จาก Institute of Social Research, The University of Michigan, Ann Arbor สหรัฐอเมริกา และสำเร็จการศึกษาอบรมหลักสูตรการควบคุมระบบงานคอมพิวเตอร์ จัดโดยกองฝึกอบรม สำนักข่าวสารอเมริกัน สำนักงานใหญ่อเมริกา

การอาชีพก่อนบวช

ท่านทำงานเป็นพนักงานต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐ ประจำอยู่ที่สำนักข่าวสารอเมริกัน แห่งสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญฝ่ายการวิจัย (Research Specialist)

แสวงหาสัจจธรรม

ระหว่างที่ท่านอยู่ที่สำนักข่าวสารอเมริกันนั้น งานในหน้าที่ระดับหัวหน้าฝ่ายวิจัยฯ ทำให้มีความเคร่งเครียดในการทำงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ท่านจึงหาเวลาศึกษาและปฏิบัติธรรม ร่วมกับเพื่อน ๆ ที่ทำงานอยู่ที่เดียวกัน โดยใช้เวลาพักกลางวัน ปิดประตูห้องทำงาน นั่งสมาธิกันประมาณวันละ 15-30 นาที และไปปฏิบัติธรรมที่วัดธาตุทองได้ 7 วันก่อนที่จะต้องเดินทางไปอเมริกา

หลังจากพักอยู่ที่อเมริกาได้ระยะหนึ่ง พอให้สิ่งต่าง ๆ เข้าที่เข้าทางดีแล้ว ท่านก็เริ่มปฏิบัติภาวนาต่อ ทุก ๆ คืนก่อนเข้านอน วันละ 1 ชั่วโมง มิได้ขาด จนปรากฏผลของสมาธิในระดับหนึ่ง สามารถเห็นภรรยาที่ประเทศไทยกำลังทำงานบ้านอยู่ได้ และได้จดหมายสอบถามดู ก็ปรากฏว่าเป็นเช่นนั้นจริง

ศิษย์พบอาจารย์

จากนั้นมาอาจารย์เสริมชัย โดยการแนะนำของพระอาจารย์ณัฐนันท์ กุลสิริ ได้ฝากตนเข้าเป็นศิษย์ของพระราชพรหมเถร (วีระ คณุตฺตโม) รองเจ้าอาวาสและพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ทำหน้าที่สืบทอดวิชชาธรรมกายจากหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ท่านได้ต่อวิชชาธรรมกายชั้นกลาง และชั้นสูงให้กับอาจารย์เสริมชัยเป็นครั้งแรกเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2516 ตรงกับวันขึ้น 11 ค่ำ เดือนอ้าย เวลา 17.30 น. ทันทีที่อาจารย์มงคลบุตรกราบนมัสการถวายตัวเป็นศิษย์ของท่าน พระราชพรหมเถรได้กล่าวแก่อาจารย์มงคลบุตรเพียงสั้น ๆ แต่มีความล้ำลึกว่า

หาตัวมานานแล้ว เพิ่งพบ ดีแล้วที่มา เกือบจะสายไป

คือท่านเห็นด้วยใจมานานแล้ว แต่เพิ่งจะมาพบตัวจริงในคราวนี้

เผยแผ่วิชชาธรรมกาย

เมื่อได้พบของจริงในศาสนาพุทธเช่นนี้แล้ว ท่านจึงได้จัดตั้งโครงการพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย และโครงการธรรมปฏิบัติเพื่อประชาชนขึ้น เพื่อเผยแพร่ธรรมปฏิบัตินี้ ทางสื่อมวลชน ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ และสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ

ในปี พ.ศ. 2524 ได้ก่อตั้งมูลนิธิพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย และสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เพื่อบริหารโครงการทั้งสองนั้น แล้วได้จัดอบรมพระกัมมัฏฐานแด่พระภิกษุสามเณร และสาธุชนทั่วไปในปี พ.ศ. 2525 จนถึงปัจจุบัน

อุปสมบท

ท่านอุปสมบทเมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2529 ณ พัทธสีมา วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ได้รับฉายาว่า "ชยมงฺคโล" โดยมีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินฺธโร) วัดสามพระยา กรุงเทพฯ เป็นพระอุปัชฌาย์ และมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (สมัยที่ดำรงสมณศักดิ์เป็นที่พระพรหมคุณาภรณ์) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพฯ (สมัยดำรงสมณศักดิ์เป็นที่พระธรรมธีรราชมหามุนี) เป็นพระอนุสาวนาจารย์

เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม

ในปี พ.ศ. 2534 เมื่อท่านได้บริหารกิจการเผยแผ่พระสัทธรรมให้เจริญขึ้นแล้ว ก็ได้ดำเนินขั้นตอนมาเป็นลำดับ จนกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศตั้งเป็นวัดขึ้นในพระพุทธศาสนาขึ้น ชื่อ "วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม" เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)

ครั้นถึงเวลาอันเหมาะสม เมื่อท่านอุปสมบทได้ 5 พรรษา อายุได้ 62 ปี ได้ศึกษาภาคปริยัติจากสำนักเรียนวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ จนสำเร็จเปรียญธรรม 3 ประโยค และนักธรรมชั้นเอก เป็นพระมหาเปรียญ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2534 ท่านจึงได้กราบลาสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ มารับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา